แม่ป่วย…
เรื่องเกิดเมื่อสองวันที่แล้ว (25 สค 2551) ตอนประมาณ 8 โมงเช้า
เกริ่นก่อนว่าแม่ผมว่ายน้ำทุกวัน จันทร์ถึงศุกร์ เป็นเวลาหลายปีแล้ว
แต่สงสัยวันนี้แกเร่งมากไป แม่โทรมาหาผมตอนประมาณ 9โมง
ว่าให้มาหาแม่หน่อยตอนนี้อยู่โรงบาลกรุงเทพคริสเตียน ปวดหัวมาก อ้วกด้วย
เพื่อนแม่พาไปส่งโรงพยาบาลก่อน แล้วผมก็รีบตามไป
.
ผมคิดว่าแย่แล้ว เพราะปกติแม่ผมต้องเจ็บมากๆถึงจะบอกออกมา
.
พอไปถึงคือเห็นแม่กำลังทำ CT scan อยู่ อาการไม่สู้ดีนัก
ต้องรอดูผล CT พักนึง
ขณะเดียวกันแม่ก็ต้องไปพักอยู่ห้องผู้ป่วยปกติสักระยะ แต่แม่ยังพูดได้
จำได้ทุกอย่างแต่บอกว่าปวดหัวมาก แม่ผมว่าคงไม่เป็นอะไรมากหรอก ซึ่งผมก็เห็นว่าแม่ยังโอเค
เพราะเห็นจากหลายๆสื่อ ถ้าเส้นลือดในสมองแตกแบบเลวร้ายมากๆ จะนิ่งไปเลย
.
ผมกะว่าจะรอจนกว่าผลจะมา หรือ หมอจะมาแจ้ง
แต่ก็นานพอสมควร ใกล้ๆข้างล่างของโรงพยาบาลมีร้านอาหารอยู่
ผมรู้สึกว่าหน้ามืดเหมือนกันเพราะไม่ได้กินอะไรเลยตั้งแต่เข้า ขณะนั้นประมาณ 11 โมงกว่าเห็นจะได้
ผมเลยคิดว่าเดี๋ยวแวะไปซื้อน้ำขนมปังกินซะหน่อย จะได้อยู่เฝ้าแม่ได้อีก
.
บังเอิ๊ญ เวลาที่ฉุกเฉินมันจะมาตอนที่เรากำลังทำอะไรอยู่เสมอๆ ตอนที่รอเป็นชัวโมงไม่มีใครมาเลย
แต่ลงไปไม่ถึงห้านาที แม่ก็โทรมาบอกว่า
หมออยากคุยด้วย !!!.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
ผมอึ้ง
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
ไปพักนึง
.
.
.
จากนั้นก็ตั้งสติแล้วรีบกินรีบไป ..
พอไปถึงห้องพักของแม่ หมอไม่อยู่…. แต่แม่อยู่ ผมก็รีบไปหาแม่บอกว่า
.
"ไหนหมอล่ะม้า(แม่)"
.
แม่ผมบอกว่า
.
"หมอเขาอยู่ที่เคาท์เตอร์ เดี๋ยวนะ ทำใจดีๆ หมอเค้าจะบอกอะไรใจเย็นๆนะลูก ม้าคงไม่เป็นอะไร"
.
น้ำตาผมเริ่มเอ่อ เพราะตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่แม่จะห่วงผมนะ มันต้องเป็นผมสิที่จะต้องบอกแม่ว่าไม่เป็นอะไร
.
.
.
.
.
ผมรีบไปที่เคาท์เตอร์
.
.
.
.
หมอบอกผมว่า
คนไข้มีเลือดในสมอง ดูจาก CT scan คือเส้นเลือดคงแตกครับเพราะมีเลือดบางๆ ตรงจุดนี้
แต่จะอยู่เส้นไหนเท่านั้น ต้องรีบทำการฉีดสีเข้าเส้นเลือดเพื่อเช็คว่าเลือดออกที่จุดไหนนะครับ
.
.
.
.
.
.
เส้นเลือดในสมองแตก !!
เฮ้ย โรคนี้มันไม่ใช่เรื่องเล็กเลยนะ !!
ในสมองผมมีภาพหลายภาพแล่นเข้ามาภายในเวลาไม่กี่วินาที (เวลาแบบนี้เหมือนในหนังไม่มีผิด)
มันเป็นภาพเหมือนที่เห็นในละครบ้าง รายการแพทย์บ้าง หรือคำเล่าจากญาติๆที่เคยเห็นคนไข้ที่เป็นโรคนี้มาก
และก็เป็นภาพแม่ผม
.
.
.
.
.
.
.
.
ฉีดสี เข้าเส้นเลือด ที่สมอง …
เลือดออกแล้วฉีดสีมัีนจะอันตรายมั้ยเนี่ย
.
"หมอครับแล้วฉีดสีนี่มีความเสี่ยงมั้ยครับ" ผมถาม
"ทุกอย่างมีความเสี่ยงอยู่แล้วครับ เส้นเลือดอาจจะแตกซ้ำได้ แต่ความเสี่ยงนี้มีน้อยครับ ผมจะส่งไปให้หมอที่ไว้ใจได้ที่รพ.จุฬาฉีดนะครับ แกฉีดมาเยอะเลย " หมอตอบ (ขออภัยจำไดอล็อคชัดเจนไม่ได้แต่หมอพูดดีมากครับให้กำลังใจดี)
.
.
"แต่ยังไงก็ต้องทำ" หมอย้ำ
.
.
"ทำสิครับ แล้วจะมีวิธีรักษายังไงบ้างครับ" ผมถาม
.
"ก่อนอื่นต้องดูว่าส่วนที่แตกนี่สามารถอุดได้มั้ย การอุดก็ใช้ขดลวดซึ่งถ้าทำได้หมอที่นั่น
เขาจะทำพร้อมๆกับการฉีดสีเลย แต่ถ้าเป็นที่จุดอื่นก็คงต้องผ่าตัด ….(ประโยคอื่นๆจำไม่ค่อยได้แล้วแต่สรุปคือ อุด กับ ผ่า"
.
"ขอเวลาผมสักครู่นะครับ" นี่ไม่ใช่การตัดสินใจเรื่องเงินทองอีกแล้ว
แต่เป็นเรื่องของการส่งแม่ ให้กับหมอที่ไว้ใจได้
.
.
ผมโทรไปหาแม่แฟนผม เนื่องจากว่าญาติๆของฝั่งแม่แฟนผมคงรุ้จักหมอหลายๆท่านได้ดีกว่าผมมาก
และเมื่อบอกว่าแม่เส้นเลือดแตกแม่แฟนผมก็ตกใจมาก แล้วก็ขอเวลาแป๊บนึง เพื่อโทรเช็ค
แล้วเค้าก็ให้คำแนะนำที่ผมอุ่นใจขึ้น
.
.
ส่วนผมก็โทรหาญาติผมเป็นการด่วน (แม่ผมโทรบอกไปแล้วส่วนหนึ่ง แน่ะ)
.
ระหว่างนั้นผมกับแม่ก็คุยกันเรื่องฉีดสีและคุยกับหมอพร้อมเช็คอาการพื้นฐานเล็กน้อยเช่นตากรอกไปกรอกมา
ตามจุดที่ชี้ได้มั้ย กำมือได้มั้ย ขยับขาได้มั้ย เกร็งแขนขาได้มั้ย และย้ายเข้า ICU
หลังจากนั้นญาติๆก็เริ่มมา และพร้อมๆกับแฟนผมกับพ่อแม่ของเค้า
.
.
.
ผมก็เข้าไปคุยกับแม่เป็นระยะ เขาให้เยี่ยมประมาณ 5 นาที
ผมเข้าไปคุยกับแม่เหมือนตอนที่ผมอยู่กับแม่ที่บ้าน
ซึ่งปกติแล้วผมจะทำงานที่บ้าน แล้วแม่ก็ชอบถามผมประจำ
แต่ตอนนี้แม่ก็ถามคำถามเดิมๆ
แม่พูดกับผมว่า " งานเยอะมั้ย ช่วงนี้เร่งไม่ใช่เหรอแล้วทำทันมั้ย"
ผมบอกกับแม่ว่า "โอ้ย เสร็จหมดแล้วม้า สบายมากไม่ต้องห่วงน่ะ"
.
แล้วผมก็บอกแม่ว่า "เดี๋ยวแป๊บนึงนะม้า เดี๋ยวเข้ามาใหม่"
ทั้งหมดไม่ถึง 1 นาที
.
.
.
.
.
พอออกมาข้างนอกห้อง
น้ำตาผมไหลพรากๆ แฟนผมต้องมาปลอบใจในมุมมืดๆของโรงพยาบาล
ซึ่งพื้นที่ตรงนั้นมันเหมือนทำมาให้คนร้องไห้จริงๆนะ
.
.
แฟนผมปลอบใจจนดีขึ้นมาหน่อย
.
.
.
.
.
.
.
.
.
แล้วก็คุณหมอโทรไปนัดอาจารย์หมอที่ฉีดสีด่วน ทำภายในวันนั้นเลย
.
.
.
.
จากนั้นรถพยาบาลก็มา นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้ขึ้นรถพยาบาล ตอนเด็กๆผมอยากรู้ว่าเข้าไปแล้วจะตื่นเต้นมั้ย
แต่เอาเข้าจริงๆมันไม่สนุกเลย
.
แม่ยังคุยได้คล่องเป็นปกติ
.
แต่ผมพูดอะไรไม่ค่อยได้ รู้สึกว่ามันอึดอัดไปหมด แฟนผมคอยปลอบใจผมแต่ไม่ค่อยสำเร็จเท่าไหร่
หน้าผมเหี่ยวมาก ซึ่งไม่ค่อยมีใครเห็นอารมณ์นี้ของผมมากนัก
.
.
.
.
.
.
ระหว่างไปที่ห้องฉีดสี ผมก็ถามพยาบาลว่าฉีดสีนี่ใช้เวลานานมั้ย (ตอนนี้ประมาณบ่ายสอง)
แล้วแม่ก็ไปทำการฉีดสี
ผมกับแฟนก็ไปเดินเล่นรอเวลาในรพ.จุฬานี่แหละ ซึ่งใหญ่และวกวนมาก งง แต่ก็มีร้านเวชภัณฑ์ด้วย
เลยเข้าไปซื้อเครื่องวัดความดันดิจิตอลมาอันนึงหวังว่าจะได้ใช้วัดความดันแม่…
ผมเพิ่งรู้ว่าแม่มีความดันสูงมานานแล้วแต่แม่ไม่บอก แถมกินยาแบบชาวบ้านๆอีกคือซื้อกินเอง
อันนี้ต้องขอบอกทุกคนไว้เลยว่าต้องสังเกตพ่อแม่พี่น้องมากๆนะครับ เพราะเขาไม่มานั่งบอกว่าเค้าเป็นอะไรหรอก
แฟนผมก็ชวนไปกินข้าว ซึ่งจริงๆผมไม่ได้หิวเลย แต่แฟนผมให้ผมไปกินให้ได้
.
.
.
.
อีกแล้ว…ระหว่างกิน
มีโทรศัพท์เข้ามา ว่าเสร็จเรียบร้อยแล้ว (ซึ่งก็แปลว่าคงไม่เป็นอันตรายน่า)
แล้วผมก็รีบกินเพื่อจะไปที่ห้องเดิม
.
.
.
.
.
ชิบหาย!!
.
.
.
.
.
.
.
.
หลงทางครับ จำทางกลับไปห้องฉีดสีไม่ได้
จริงๆมันอยู่ไม่ไกลกันมากแต่ผมวนซะรอบเลย
แม่ไม่เป็นอะไรครับ ผ่านพ้นขั้นตอนการฉีดสีมาได้
ผมใจชื้นขึ้นมาเล็กน้อย คุยเล่นกับแม่
แม่บอกว่า "คงไม่เป็นไรเนอะ หมอเค้าคงใช้ยาแล้วม้าก็คงดีขึ้น ม้าไม่อยากผ่าเล้ย"
ผมก็บอกว่า "ไม่เป็นไรหรอกม้า สบายๆน่ะ"
.
.
.
รอผลจากหมอสักสิบนาที
ผมไปคุยกับหมอ ซึ่งห่างจากแม่เล็กน้อย พอให้แม่ไม่ได้ยิน
คุณหมอที่นี่บอกว่า จุดที่แตกนี่อยู่ด้านนอก(ใกล้ๆกระโหลก) ใช้การอุดไม่ได้ต้องผ่าจากนอกเข้าในจะดีกว่า
แต่ยังไงก็ต้องประชุมกับทางนู้นว่าจะใช้วีธีการยังไงอีกที
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.ผ่าตัด!!!
.
.
.
.
.
.
สมองด้วย
.
.
.
.
แต่ผมไม่รู้จะบอกแม่ยังไง แต่ยังไงก็คงต้องบอกอยู่ดีเลยพูดไปว่า
"ไม่อุดก็ผ่าแหละม้า"
.
"เหรอ" แม่ตอบ
"แต่ถ้าผ่าก็ไม่มากเพราะมันอยู่ด้านนอกเนอะ"
.
.
.
.
หลังจากนั้นก็ย้ายมาที่รพ.กรุงเทพคริสเตียน เข้ามารอที่ห้อง ICU เหมือนเดิม
แม่รู้สึกเหนื่อยและปวดหัวมากขึ้นจากการย้ายที่
.
.
ผลสรุปของวิธีการคือ ผ่าตัดจริงๆดั่งคาด
แน่นอนผมต้องถามคำถามเดิมว่าแพทย์ผู้ผ่าคือใครความเสี่ยงมากแค่ไหน
แต่ก็ได้รับทราบว่าแพทย์คืออาจารย์หมอของคุณหมอที่เป็นทีมรักษาแม่อีกที ซึ่งก็ผ่ามาเยอะมากเช่นกัน
แต่ต้องผ่าเลยเพราะว่าปล่อยไว้ จะแตกซ้ำแน่นอน!! ซึ่งไม่รอดแน่ ถ้าตกลงผ่าผมจะได้นัดอาจารย์เลย
.
แต่ความเสี่ยงอยู่ที่ 30%
.
น้ำตาเริ่มมาอีกแล้ว เพราะผมได้ยินว่าการผ่าอาจจะมีการแตกระหว่างผ่าด้วยก็ได้ แม่ผมอายุ 68 แล้วด้วย
.
.
นัดเลยครับหมอ
.
.
แล้วก็มีใบมาให้ผมเซ็นยินยอม
ผมจำได้ว่าอ่านอยู่นานมากก่อนจะเซ็น แต่ผมจำเนื้อหาอะไรไม่ได้เลย
.
.
.
.
.
.
.
.
ตอนนี้ผมก็เดินไปกับหมอเพื่อบอกแม่ว่าจะผ่าอีกครั้ง
แต่แม่ไม่ได้ตกใจมากนัก "เหรอคะ" แม่บอก
.
ส่วนผมก็บอกว่า "ประมาณ ทุ่มนึงล่ะม้า"
.
แต่แม่กลับบอกผมกับแฟนว่า "แล้วพวกเรากินข้าวกันรึยังล่ะ"
.
.
.
.
.
.
.
.
อีกแล้วที่ผมต้องรีบออกมานอกห้อง
.
.
.
คราวนี้ร้องไห้หนักเลย คิดถึงภาพวันที่ไม่มีแม่อยู่ ผมรับไม่ได้
เพราะว่าผมคิดว่าผมยังทำให้แม่ไม่เต็มที่เลย
ผมไม่กล้าเข้าไปอีกแล้ว กลัวแม่จะเห็นว่าผมร้องไห้
เลยต้องเข้าไปตอนใกล้ๆจะผ่า
.
.
.
ภาพที่เห็นคือเขากำลังเข็นแม่ผมผ่านห้อง ICU ไปห้องผ่าตัดข้างๆ แม่ไม่กลัวผ่าแต่กลัวการวางยาสลบ
ผมไปพูดกับแม่ว่า "ม้าต้องเข้มแข็งนะ ไม่เป็นไรมากแป๊บเดี๋ยว"
.
แต่ผมถามพยาบาลได้ความว่าใช้เวลาประมาณ 3 ชม.
.
.
ผมอยากพบแพทย์ผู้ผ่าตัดก่อนที่จะผ่า แต่เขาไปอยู่ในห้องผ่าตัดซะแล้ว
.
.
.
ประตูห้องผ่าตัดเปิดออก แม่ผมกำลังถูกเข็นเข้าไปเพื่อวางยาสลบ
ผมรีบพูดว่า "ฝากแม่ผมด้วยนะครับ"
หวังว่าคงถึงบรรดาทีมผ่าตัดทุกคน รวมถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่แถวๆนี้
ให้แม่ผ่านมันไปได้ด้วยดี
.
.
.
.
3 ชั่วโมงนั้นผมคิดอะไรไม่ออกเลยนั่งสวดมนต์ ภาวนาขอพระ แฟนผมบอกว่าเราก็ไหว้ขอพระจากที่บ้านให้แล้ว
กะว่าจะไหว้ที่นี่ด้วยแต่ไม่มีศาลพระภูมิ โรงบาลคริสต์ ห้องชื่อว่าห้องหมอบรัดเลย์ เลยขอด้วยเลย
เอ๊ะหมอบรัดเลย์นี่บิดาแห่งการพิมพ์ไทยไม่ใช่เหรอ? น่าจะได้น่ะ
.
ส่วนรอบๆมีอีกครอบครัวนึงมารอญาติเขาเหมือนกัน
ประมาณ 10 กว่าคน ยกมาทั้งบ้าน กินมาม่าถ้วยระหว่างรอด้วย เค้าบอกห้ามกินหน้าห้อง
.
.
.
ขำบ้าง เศร้าบ้าง สลับกันไป
แต่จริงๆผมเครียด
.
.
.
.
พ่อแฟนผมบอกว่าระหว่างนี้ไปเอาเสื้อที่บ้านมั้ยจะได้รีแลกซ์หน่อย ผมก็เห็นดีด้วย เลยลงไปกะว่าจะไปที่รถพ่อ
แต่… พอถึงชั่นล่าง ผมบอกแฟนผมว่าช่วยเอามาให้ทีนะ อยากอยู่ที่นี่น่ะ แล้วก็ส่งกุญแจบ้านให้
ผมรอหน้าห้อง จนครอบครัวนั้นกลับไปหมดแล้ว
.
.
.
.
.
.
.
.
.
ความเงียบกลับมาอีกครั้ง
….
.
.
.
.
.
.
ก่อนที่จะเงียบไปมากกว่านี้ แฟนผมและพ่อแม่ของเขาก็กลับมาพร้อมกระเป๋าใบใหญ่ข้างในมีเสื้อผ้าครบครัน
และรู้สึกว่ามีหมอลูกทีมเดินมาก่อน ผมก็ไม่รู้ว่าใช่ทีมที่ผ่าแม่ผมหรือเปล่า แต่เดินตัวปลิวไปเลย
แฟนผมบอกว่าถ้าแช่มชื่นอย่างนี้ไม่เป็นไรแล้วล่ะ
.
.
.
ผมรออยู่พักใหญ่จนมีพยาบาลออกมาถามหาญาติผู้ป่วย ผมลุกพรวดอย่างรวดเร็ว
เห็นภาพหมอใหญ่หันหลังอยู่กำลังเขียนอะไรซักอย่าง
.
.
.
ผมอยากเห็นสีหน้าเค้าเร็วๆ เพราะถ้าเห็นหน้าหมอมี่ผ่าตัดปั๊บก็รู้ได้ทันทีว่ารอดหรือไม่
.
.
.
.
.
ทันทีที่หมอหันกลับมาพร้อมสีหน้าที่เรียบๆชิวๆ แสดงว่าแม่รอดครับ
แล้วแม่ก็ปลอดภัยจริงๆ
หมอบอกว่าการผ่าตัดเรียบร้อยดี แล้วก็วาดภาพให้ดูว่าเส้นเลือดที่โป่งนี่มันโป่งถึง 3มิล
เห็นเลือดอยู่ข้างในแต่ยังไม่แตก แต่ทำการหนีบไว้เรียบร้อยแล้ว
ส่วนเลือดที่ยังค้างอยู่ต้องให้มันไหลออกไปเอง ซึ่งต้องรอดูอาการอีก 1-2 สัปดาห์
(หมอบอกว่าส่วนเลือดที่ค้างอยู่ อาจจะมีปฎิกริยาต่อเส้นเลือดอื่นๆได้ เพราะว่าจะมีการปล่อยสารออกมา ทำให้เส้นเลือดหดตัว)
.
.
ผมดีใจมาก
แม้ว่าต้องรอดูอาการต่อไป แต่หมอบอกว่าไม่น่าจะมีปัญหา
.
.
.
.
.
แค่วันเดียวเท่านั้นทำให้ผมได้คิดอะไรกับชีวิตมากขึ้น
มันเป็นภาพผู้คนย่านสีลมที่ขวักไขว่ทำงาน กินข้าว และกลับบ้าน
ผมเห็นคนเหล่านั้นคือตัวผมเอง แล้วผมก็คิดว่าคนเราจะทำงานจนไม่มีเวลา
คุยกับครอบครัวพ่อแม่พี่น้องไปเพื่ออะไร
แม้ว่าผมจะอยู่กับแม่นานกว่าคนอื่นก็ตาม (เพราะทำงานที่บ้าน)
.
ชีวิตคนเรามันสั้นมาก วันนี้แข็งแรงดี พรุ่งนี้อาจจะแย่ก็ได้
ผมอยากให้คนที่อ่านทุกคนเห็นความสำคัญของการเอาใจใส่คนในครอบครัวให้มากๆ
แม้ว่าเขาจะดูเหมือนแข็งแรงดีก็ตาม หมั่นสังเกต พาไปตรวจสุขภาพอย่างน้อยปีละครั้ง
.
หมอบอกว่าถ้า 55 ขึ้นไปต้องตรวจปีละ 2 ครั้ง
.
.
.
วันนี้ผมโชคดีมาก เพราะในขณะที่วันแรกหลังผ่าแม่ผมก็ลืมตาและมีปฎิกริยาตอบสนองแล้ว
และเข้าสู่วันที่สอง แม่ผมเริ่มทานอาหารได้แล้ว แถมยังสั่งให้ผมเติมเงินโทรศัทพ์มือถือได้อีกแน่ะ
.
แต่เตียงข้างๆแม่ไม่ได้โชคดีแบบผม หมอที่ผ่าแม่บอกบอกว่ารายนั้นแย่ เพราะตอนผ่าเกิดแตกซ้ำ
เลยน็อคไปเลย ส่วนของแม่ผมโชคดีแล้ว ที่เป็นก็ตรงแกนสมองด้วยอันตรายทีเดียว
(ผมเห็นภาพที่หมอเอากล้องถ่ายเส้นเลือดนั้นให้ดูด้วย )
.
.
ขอบคุณคุณหมอและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดในโลกนี้ที่ช่วยให้แม่ผมรอดมาได้
และขอให้แม่ผมเป็นปกติในเร็ววันด้วยครับ
.
.
.
.
คุณอาจจะไม่โชดดีแบบผมและแม่ผมก็ได้ เพราะฉะนั้นพาพ่อแม่ไปตรวจสุขภาพนะครับ